หากคุณกำลังวางแผนเดินทางไปเที่ยวเกาหลีใต้ครั้งแรก หรือแม้แต่ไปบ่อยแล้วแต่ยังอยากเตรียมตัวให้เป๊ะ บทความนี้คือ คู่มือครบจบทุกข้อควรรู้ ที่ช่วยให้คุณเที่ยวเกาหลีได้สนุก ไม่สะดุด พร้อมแนะนำสิ่งของที่ควรเตรียม รายละเอียดเอกสาร ด่านตรวจคนเข้าเมือง และข้อห้ามที่ต้องระวังไว้ล่วงหน้า
หนังสือเดินทาง (Passport) ต้องมีอายุเหลืออย่างน้อย 6 เดือน
คนไทย ไม่ต้องขอวีซ่า สำหรับการพำนักไม่เกิน 90 วัน
ถ้าอายุ 18–64 ปี ควร ลงทะเบียน K-ETA (Korea Electronic Travel Authorization) ล่วงหน้า
เอกสารสำรองที่อาจใช้ประกอบการผ่าน ตม. เช่น:
บัตรพนักงาน / นามบัตร
ใบรับรองการทำงานภาษาอังกฤษ
บัตรเครดิต หรือหลักฐานการเงิน
หนังสือเดินทางเล่มเก่า (ถ้ามี)
❗️หมายเหตุ: เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเกาหลีมีสิทธิ์ปฏิเสธการเข้าประเทศ หากสงสัยว่าไม่ได้มาท่องเที่ยวโดยสุจริต
✅เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองอาจมีการขอเรียกดูเอกสารเพิ่มเติมกรณีที่ผู้เดินทางเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์
โดยจะต้องเตรียมเอกสารดังนี้
1. กรณีเดินทางกับผู้ปกครอง (พ่อและแม่) เตรียมสูติบัตรตัวจริงหรือสำเนา
2. กรณีเดินทางกับพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่ง หรือไปกับญาติ เตรียมใบอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศ ระบุว่าไปกับใคร สามารถยื่นคำร้องได้ที่สำนักงานเขต/อำเภอ ที่ผู้เดินทางพักอาศัย + เตรียมสูติบัตรตัวจริงหรือสำเนา
กระเป๋าโหลดใต้เครื่อง: ไม่เกิน 20 กก. (เช็คกับบริษัททัวร์ หรือสายการบินที่จองไว้ว่าได้กี่กิโลกรัม กี่ใบ ขนาดเท่าไร)
กระเป๋าถือขึ้นเครื่อง: ปกติไม่เกิน 7–10 กก.
ของเหลว/เจล/สเปรย์ ที่ขึ้นเครื่องได้ต้องไม่เกิน 100 มล.ต่อชิ้น และรวมไม่เกิน 1 ลิตร ใส่ในถุง Ziplock ขนาด 20x20 ซม.
ห้ามนำเข้า: เนื้อสัตว์ ผลไม้สด ดิน พืชมีดินติด (ผิดกฎหมายทั้งเกาหลีและไทย)
ห้ามนำของมีคม, ของลามก, ของเลียนแบบแบรนด์, Power Bank เกิน 32,000 mAh (แนะนำไม่ควรเกิน 20,000 mAh มีตัวเลขชัดเจน)
Power Bank ต้องพกในกระเป๋าถือ ห้ามโหลดใต้เครื่องเด็ดขาด
ฤดู | เดือน | อุณหภูมิ | เสื้อผ้าแนะนำ |
---|---|---|---|
ฤดูใบไม้ผลิ | มี.ค.–พ.ค. | 6–20°C | เสื้อแขนยาว + แจ็คเก็ตบาง |
ฤดูร้อน | มิ.ย.–ส.ค. | 22–35°C | เสื้อยืด + กางเกงขาสั้น + ร่ม |
ฤดูใบไม้ร่วง | ก.ย.–พ.ย. | 5–25°C | เสื้อกันลม + กางเกงขายาว |
ฤดูหนาว | ธ.ค.–ก.พ. | -5 ถึง -20°C | เสื้อโค้ทหนา, ถุงมือ, ผ้าพันคอ, ฮีตแพด |
🧤 อย่าลืมเตรียมเสื้อผ้าที่ “ซ้อนกันได้หลายชั้น” เพื่อปรับอุณหภูมิได้ตามช่วงเวลาในแต่ละวัน
เงินวอน (KRW) เป็นสกุลเงินหลัก อัตราเฉลี่ย 1,000 วอน ≈ 25–30 บาท
แนะนำให้แลกเงินจากไทยไปก่อน หรือแลกในสนามบิน
บัตรเครดิต ใช้ได้เฉพาะร้านค้าขนาดกลางขึ้นไป / ห้าง / โรงแรม
พกเครื่องคิดเลขหรือใช้แอปแปลภาษา + แอปคำนวณไว้สะดวกมากเวลาซื้อของ
ใช้ Pocket WiFi, ซิมเกาหลี หรือเปิด Roaming ตามสะดวก (แนะนำซิมจากไทยไปสะดวกสุด)
สัญญาณดีทั่วประเทศ โดยเฉพาะในโซลและปูซาน
Naver Map: แม่นยำกว่ากูเกิลแมปในเกาหลี
Papago: แอปแปลภาษาเกาหลี – ไทย ใช้ง่ายมาก
Subway Korea: เช็กเส้นทางรถไฟใต้ดินรวดเร็ว
อาหารเกาหลีส่วนใหญ่เสิร์ฟเป็นเซ็ต มีข้าว + เครื่องเคียง (กิมจิ, ซุป ฯลฯ)
ร้านอาหาร ไม่มีน้ำแข็ง ส่วนใหญ่น้ำเปล่าหรือชาร้อน
หากไม่ชินกับรสชาติ แนะนำพก น้ำพริก น้ำปลา หรือซอสพริก ไปเอง
เบียร์และโซจูมีขายทั่วไป ราคาประมาณ 3,000–5,000 วอน
ยาประจำตัว พร้อมฉลากหรือใบรับรองแพทย์
เสื้อกันฝน, ร่มพับ, หมวก, ผ้าพันคอ, รองเท้าใส่เดินเยอะ
ปลั๊กแปลง (Universal Adapter) – ปลั๊กเกาหลีเป็นแบบขากลม 2 ขา
ของใช้จำเป็น: ครีมกันแดด, ลิปมัน, ทิชชู่เปียก, แผ่นร้อนฤดูหนาว
บุหรี่ไม่เกิน 200 มวน, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่เกิน 1 ลิตร
ของใช้ส่วนตัวมูลค่ารวมไม่เกิน 20,000 บาท
ของต้องห้าม: ยาเสพติด, สื่อลามก, ธนบัตรปลอม, อาวุธ
โสมเกาหลี (Ginseng)
กิมจิ / สาหร่ายอบแห้ง
เครื่องสำอางเกาหลี
เครื่องครัวเกาหลี / ช้อนตะเกียบ
ตุ๊กตา, พวงกุญแจ, ของที่ระลึกพื้นเมือง
✅ พาสปอร์ต + K-ETA (ถ้าจำเป็น ตามอายุ)
✅ แลกเงินวอน
✅ เสื้อผ้าตามฤดูกาล
✅ ปลั๊กแปลง + Power Bank
✅ ยา + อุปกรณ์สุขภาพ
✅ โหลดแอปที่จำเป็น
✅ เช็กสัมภาระต้องห้ามก่อนขึ้นเครื่อง
✅ เอกสารเด็ก ที่ต่ำกว่า 18 ปี
✈️ เมื่อเตรียมตัวครบแล้ว...ก็พร้อมออกเดินทางไปสัมผัสเสน่ห์ของเกาหลีใต้ได้อย่างมั่นใจ
“안녕히 가세요 – ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ!”
หากคุณกำลังมองหาแพ็คเกจทัวร์เกาหลีที่คุ้มค่า ลองเลือกบริษัทที่มีประสบการณ์และรีวิวดี เช่น Letago Travel ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกยอดนิยมของนักเดินทางไทย!
เกาหลีใต้ไม่ได้มีดีแค่ซีรีส์ เพลง K-POP หรือแฟชั่นสุดล้ำ แต่ยังขึ้นชื่อเรื่องของฝากที่น่าซื้อกลับบ้านอีกมากมาย หากคุณกำลังมองหาไอเดียของฝากสำหรับคนพิเศษ หรือเก็บไว้ใช้เอง บทความนี้เรารวมมาให้แล้วกับ 5 ของฝากจากเกาหลีที่ห้ามพลาด เมื่อได้ไปเยือนดินแดนโสมขาว
โสมเกาหลีถือเป็นของฝากระดับตำนาน ที่คนเกาหลีให้ความสำคัญมาแต่โบราณ มีบันทึกทางการแพทย์ตั้งแต่สมัยราชวงศ์หยางของจีนระบุไว้ว่า โสมที่ดีที่สุดในโลกนั้นมาจากประเทศเกาหลี เนื่องจากสภาพดิน ฟ้า อากาศเหมาะสมต่อการเพาะปลูกโสมคุณภาพสูง
👉 โสมเกาหลีมีสรรพคุณเด่น:
บำรุงร่างกาย เพิ่มพลัง
กระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต
ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
ผลิตภัณฑ์แนะนำ:
ชาโสมแบบซอง
ผงโสม
โสมสกัดเข้มข้นในหลอด
ลูกอมโสม
💡 เหมาะสำหรับเป็นของฝากผู้ใหญ่ หรือผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ
จะมีอะไรเกาหลีไปกว่านี้! กิมจิ คืออาหารหมักประจำชาติเกาหลีที่มีติดทุกโต๊ะอาหาร ชาวเกาหลีมีกิมจิหลายสูตรและหลายชนิด ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและท้องถิ่น
ชนิดกิมจิที่นิยม:
กิมจิผักกาดขาว (ฤดูใบไม้ผลิ)
กิมจิแตงกวาสอดไส้ (ฤดูร้อน)
กิมจิหัวไชเท้า (ฤดูใบไม้ร่วง)
กิมจิหลากหลายเก็บไว้กินช่วงฤดูหนาว (เรียกว่า กิมจัง)
🎁 กิมจิที่บรรจุในถุงสุญญากาศพร้อมส่งออก เป็นของฝากที่เก็บได้นาน และเหมาะกับสายกินโดยเฉพาะ
❗️อย่าลืมเช็กข้อกำหนดการนำเข้าอาหารตอนกลับไทย
สาหร่ายอบแห้งจากเกาหลีมีชื่อเสียงไม่แพ้กิมจิ โดยเฉพาะ “โดกิม” หรือสาหร่ายหิน ที่ผลิตจากแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติในเขตภูเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาหลี
💪 คุณค่าทางโภชนาการ:
อุดมด้วยแร่ธาตุ วิตามินบี และธาตุเหล็ก
ช่วยลดคลอเลสเตอรอล
เสริมสุขภาพหัวใจ และเหมาะสำหรับผู้ควบคุมน้ำหนัก
🍴 มักอบด้วยน้ำมันงาและเกลืออนามัย ให้รสชาติเข้มข้นแต่ยังคงสุขภาพดี
แตกต่างจากสาหร่ายญี่ปุ่นที่เน้นรสซอส
📦 เหมาะเป็นของฝากแบบแพ็คใหญ่ ซื้อยกลัง หรือแบบซองแบ่งขายก็สะดวก
อีกหนึ่งของฝากสุดพรีเมียมจากเกาหลีคืออัญมณี โดยเฉพาะ:
Amethyst (เขี้ยวหนุมาน) – หินสีม่วงเชื่อกันว่าช่วยเสริมพลังงานและป้องกันภัย
Smoky Topaz (บุษราคัม) – หินสีเหลืองทองเข้ม ให้ความรู้สึกมั่นคง
💍 มีให้เลือกตั้งแต่เม็ดเดี่ยวไปจนถึงเครื่องประดับสำเร็จรูป เช่น แหวน สร้อยคอ ต่างหู
สามารถซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้า โรงงานผู้ผลิต หรือในดิวตี้ฟรี
🎀 ของขวัญสุดประทับใจสำหรับคนพิเศษ หรือของที่ระลึกสไตล์หรูหรา
หากคุณมองหาของฝากน่ารักๆ ราคาย่อมเยา และพกพาง่าย ของที่ระลึกพื้นเมืองเกาหลีคือตัวเลือกที่ดีมาก เช่น:
พวงกุญแจตุ๊กตาเกาหลี
ชุดน้ำชา แก้วเหล้าเล็ก
ช้อนตะเกียบทองเหลือง
กระเป๋าผ้า ปากกา ลายประจำชาติ
🛒 แนะนำให้ซื้อจากร้านแผงลอยหรือรถกระบะหน้าร้านอาหาร จะได้ราคาถูกกว่าร้านในแหล่งท่องเที่ยว
✅ เหมาะแจกเพื่อนร่วมงาน หรือเป็นของแจกหลังกลับจากทริป
การจองตั๋วบินจาก กรุงเทพฯ (BKK/DMK) ไปยังโซล (ICN/GMP) มีหลายทางเลือกและเทคนิคที่ช่วยให้ได้ราคาคุ้มค่า:
เปรียบเทียบหลายแพลตฟอร์ม
ใช้ Google Flights, Skyscanner, Momondo, Expedia, KAYAK เพื่อเปรียบเทียบราคา แล้วตรวจสอบราคาบนเว็บไซต์สายการบินโดยตรง
จองในช่วง “prime window”
สำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ น่าจะจองล่วงหน้า 2–6 เดือนโดยเฉพาะช่วง 43–60 วันก่อนบิน
เลือกจังหวะวันบิน & จอง
วันบินถูกกว่า: อังคาร, พุธ, พฤหัส (เที่ยวบินมักถูกขึ้น)
วันจองให้เลือกอาทิตย์หรือช่วงกลางสัปดาห์ (จองวันอาทิตย์ลดได้ 6–13%)
ใช้โหมดไม่ระบุตัวตน (Incognito)
ช่วยหลีกเลี่ยงราคาที่ขึ้นจากการเข้าเว็บบ่อย ๆ
ตั้ง “Price Alert”
ใช้เครื่องมือแจ้งเตือน (Google Flights, Expedia, Skyscanner, Hopper, KAYAK) จะได้แจ้งตอนราคาตก
Expedia:
เที่ยวเดียว BKK→ICN เริ่มที่ประมาณ 5,000 บาท
ไป-กลับเริ่มต้นประมาณ 9,000 บาท
Skyscanner:
เดือนกรกฎาคมราคาถูกสุด เริ่มที่ 3,000 บาท ต่อเที่ยว
เที่ยวบินไปกลับเฉลี่ยช่วง 6,500 บาท
TRIPS:
เที่ยวเดียว BKK→ICN เริ่มที่ 4,000 บาท
เที่ยวบินราคาถูกสุดไป-กลับด้วย T’way Air ประมาณ 7,500 บาท
สายการบินตรงที่มีให้เลือก เช่น Thai Airways, Korean Air, Asiana, Jeju Air, Air Premia, T’way Air, Thai Vietjet
ขั้นตอนที่ 1: เลือกช่วงวันที่บิน (ควรมีความยืดหยุ่น ±2 วัน)
ขั้นตอนที่ 2: ใช้ Google Flights หรือ Skyscanner ตรวจราคาขั้นต่ำ
ขั้นตอนที่ 3: เปิดโหมด Incognito เพื่อตรวจสอบราคาใหม่
ขั้นตอนที่ 4: ตั้ง Price Alert และเช็คอีเมลทุกวัน
ขั้นตอนที่ 5: เมื่อราคาดี – จองผ่านสายการบินโดยตรง (ได้คะแนนสะสม และเงื่อนไขยืดหยุ่นกว่า) หรือผ่าน Expedia/KAYAK หากมีส่วนลดเพิ่มเติม
ขั้นตอนที่ 6: ตรวจสอบนโยบายปรับราคาหลังจอง หากราคาตก สามารถขอรีฟันด์หรือเปลี่ยนตั๋วได้ (เช่น Price Drop Protection ของ Expedia)
ระยะเวลา | กิจกรรม |
---|---|
6 เดือนก่อนเดินทาง | เลือกช่วงบิน – เปิด Price Alerts |
2–3 เดือนก่อนเดินทาง | ตรวจและเปรียบเทียบราคา – ใช้ Incognito |
เมื่อพบราคา ~฿5,500–7,000 ไปกลับ | จองทันที! |
หลังจอง | ตรวจราคาซ้ำทุกสัปดาห์ หากมีโปรฯ รีบใช้สิทธิเปลี่ยนตั๋ว |
ใช้ Skyscanner หรือ Google Flights เพื่อดูราคาย้อนหลัง
จองล่วงหน้า 2–6 เดือน
เลี่ยงการจอง-บินในวันเสาร์–อาทิตย์ เพราะราคาแพง
ตรวจสายการบินตรงก่อน แล้วเทียบกับสายการบินราคาประหยัด (T’way, Vietjet)
ควรตั้งแจ้งเตือน และจองในโหมด Incognito เพื่อราคาดีที่สุด
ที่เที่ยว ที่กิน ที่พัก แนะนำการเดินทาง และไฮไลท์ต่างๆ
เกาหลีใต้ไม่เพียงแต่เป็นศูนย์กลางของ K-pop และซีรีส์เกาหลีที่โด่งดังไปทั่วโลก แต่กรุงโซลยังเป็นสวรรค์ของวัยรุ่นที่เต็มไปด้วยสีสัน แฟชั่น คาเฟ่ และแหล่งแฮงเอาต์แบบสุดชิค โดยเฉพาะสำหรับวัยรุ่นเกาหลีเอง พวกเขาก็มี “โลเคชันลับ” หรือย่านสุดโปรดที่แวะเวียนไปอยู่เสมอ แล้วถ้าคุณกำลังแพลนไปเที่ยวเกาหลีล่ะ? ลองไปตามรอยวัยรุ่นเกาหลีกัน!
ทำไมวัยรุ่นเกาหลีชอบฮงแด?
ร้านเสื้อผ้าแนวสตรีต Y2K ที่อัปเดตเทรนด์ไวมาก
บรรยากาศศิลปะจากนักศึกษาม.ฮงอิก (Hongik University)
การแสดงสด (busking) ทุกค่ำคืน
แนะนำที่เที่ยว:
ถนนช้อปปิ้งฮงแด
คาเฟ่สตูดิโอถ่ายรูป เช่น Haru & One Day
การเดินทาง:
รถไฟใต้ดินสาย 2 (สีเขียว) ลงสถานี Hongik Univ. (Exit 9)
ทำไมวัยรุ่นเกาหลีชอบซองซู?
เต็มไปด้วยร้านกาแฟแนวมินิมอล
แหล่งรวมแบรนด์แฟชั่นเกาหลีอินดี้
แนะนำที่เที่ยว:
Cafe Onion (คาเฟ่ในอาคารโรงงานเก่า)
Daelim Changgo Gallery
การเดินทาง:
รถไฟใต้ดินสาย 2 ลงสถานี Seongsu (Exit 4)
ทำไมวัยรุ่นเกาหลีชอบอีแทวอน?
มีร้านอาหารนานาชาติ
วัฒนธรรมเปิดกว้าง หลากหลายเชื้อชาติ
แนะนำที่เที่ยว:
Gyeongnidan-gil, ร้านเบอร์เกอร์ชื่อดัง
Usadan-ro ถนนศิลปะและคาเฟ่
การเดินทาง:
รถไฟใต้ดินสาย 6 ลงสถานี Itaewon (Exit 3)
ทำไมวัยรุ่นเกาหลีชอบคังนัม?
ย่านธุรกิจทันสมัย ร้านค้าแบรนด์ดัง
จุดรวมไอดอลและแฟนคลับ
แนะนำที่เที่ยว:
Coex Mall และ Starfield Library
ถนน Garosugil (ช้อปปิ้งแบรนด์หรู คาเฟ่สวย)
การเดินทาง:
รถไฟใต้ดินสาย 2 ลงสถานี Gangnam หรือ Sinsa (สำหรับ Garosugil)
ทำไมวัยรุ่นเกาหลีชอบเมียงดง?
ร้านเครื่องสำอางลดราคา
แฟชั่นเปลี่ยนเร็ว มีของใหม่ทุกสัปดาห์
แนะนำที่เที่ยว:
ตลาดเมียงดง (Myeongdong Street Food Market)
Olive Young, Innisfree Flagship Store
การเดินทาง:
รถไฟใต้ดินสาย 4 ลงสถานี Myeongdong (Exit 6)
ทำไมวัยรุ่นเกาหลีชอบย่าน Ewha?
เสื้อผ้าเกาหลีราคาย่อมเยา ใกล้มหาวิทยาลัยหญิงชื่อดัง
สไตล์หวาน น่ารัก คาเฟ่น่าถ่ายรูป
แนะนำที่เที่ยว:
Ewha Shopping Street
Ewha Campus Complex (สถาปัตยกรรมสุดล้ำ)
การเดินทาง:
รถไฟใต้ดินสาย 2 ลงสถานี Ewha Womans Univ. (Exit 2 หรือ 3)
สไตล์ | ย่านแนะนำ |
---|---|
แฟชั่นสตรีท / คาเฟ่ | ฮงแด, ซองซู |
วินเทจ / ศิลป์ / อินดี้ | อีแทวอน, ซองซู |
สายหรูหรา | คังนัม, Garosugil |
ช้อปราคาประหยัด | เมียงดง, Ewha |
ชิลล์ถ่ายรูป | ฮงแด, Ewha, ซองซู |
หากคุณเบื่อคาเฟ่เกาหลีแนวมินิมอลที่มีอยู่ทั่วทุกมุมเมือง ลองตามเรามาค้นพบอีกด้านของกรุงโซล เมืองที่เต็มไปด้วยคาเฟ่สุดครีเอต ไอเดียแปลก แหวกแนว และมีเอกลักษณ์แบบที่ไม่มีใครเหมือน ไม่ว่าจะเป็นคาเฟ่ที่ให้คุณได้ขุดฟอสซิลเหมือนเป็นนักบรรพชีวิน หรือคาเฟ่ที่เปิดเพลงจากแผ่นเสียงวินเทจในบรรยากาศชวนย้อนยุค บทความนี้จะพาคุณไปไกด์ทุกจุด พร้อมแนะนำการเดินทางและคำแนะนำสำหรับผู้ที่อยากสัมผัสคาเฟ่แปลกในโซลให้ครบทุกสไตล์
เกาหลีใต้โดยเฉพาะกรุงโซลมีชื่อเสียงในเรื่องคาเฟ่ที่มีดีไซน์ไม่ธรรมดา นักท่องเที่ยวที่ไกด์เคยพาเที่ยวโซล ส่วนใหญ่จะสอบถาม หาร้านคาเฟ่สวยๆนั่งถ่ายรูป เช็คอินลงโซเชียลกันทั้งนั้น มีทั้งคาเฟ่หมา คาเฟ่แมว คาเฟ่คุก คาเฟ่โรงเรียน ฯลฯ แต่ “คาเฟ่แปลก” ที่เราจะแนะนำในบทความนี้คือคาเฟ่ที่ไม่ได้มีดีแค่รูปร่างหน้าตา แต่ยังมีคอนเซปต์เฉพาะทาง บางแห่งผสมกิจกรรมที่คนไม่เคยคิดว่าจะมีในคาเฟ่ และบางแห่งก็กลายเป็นแหล่งรวมตัวของนักสะสมเฉพาะกลุ่ม
ชื่อร้าน: Dino Safari Café (디노사파리카페)
โลเคชัน: Hongdae, Seoul
จุดเด่น: คาเฟ่ธีมไดโนเสาร์ที่ผสมกิจกรรม "ขุดฟอสซิล" สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ โดยคุณสามารถเลือกเซ็ตขุดทรายได้ที่โต๊ะ แล้วลงมือแซะหาโครงกระดูกไดโนเสาร์จำลองได้จริง ๆ
เหมาะกับใคร: นักท่องเที่ยวสายครอบครัว / คนที่ชอบไดโนเสาร์ / วัยรุ่นสายเล่นสนุก
เมนูแนะนำ: Dino Latte, Fossil Cookie Set
วิธีเดินทาง:
รถไฟใต้ดินสาย 2 ลงสถานี Hongik Univ. ทางออก 9 เดินต่อประมาณ 7 นาที
เวลาเปิด–ปิด: ทุกวัน 10:00 – 21:00 น.
ชื่อร้าน: Café Vinyl & Coffee (카페바이닐)
โลเคชัน: Itaewon, Seoul
จุดเด่น: คาเฟ่ที่ผสมผสานความรักในดนตรีเข้ากับเครื่องดื่มอร่อย ๆ ร้านตกแต่งด้วยแผ่นเสียงวินเทจหลายร้อยแผ่น และเปิดเพลงคลาสสิกเกาหลี-ตะวันตกทั้งวัน นักท่องเที่ยวสามารถขอให้เปิดแผ่นที่อยากฟังได้
เหมาะกับใคร: สายชิลล์ / นักฟังเพลงวินเทจ / ผู้ที่รักบรรยากาศคลาสสิก
เมนูแนะนำ: Black Vinyl Latte, Cinnamon Toast, Earl Grey Milk Tea
วิธีเดินทาง:
รถไฟใต้ดินสาย 6 ลงสถานี Itaewon ทางออก 3 เดินต่อประมาณ 5 นาที
เวลาเปิด–ปิด: 11:00 – 22:00 น. (หยุดวันจันทร์)
ชื่อร้าน: Ddong Café (똥카페)
โลเคชัน: Insadong, Jongno-gu
จุดเด่น: คาเฟ่ธีม “อึ” ที่ตกแต่งด้วยหมอนทรงอึ ถ้วยชามทรงโถสุขภัณฑ์ เมนูสุดครีเอต เช่น ไอศกรีมในถ้วยโถส้วม หรือลาเต้โฟมลายน่ารัก ๆ
เหมาะกับใคร: คนชอบความตลก ขำขัน ไม่กลัวความแปลกใหม่
เมนูแนะนำ: Ddong Latte, Toilet Ice Cream Sundae
วิธีเดินทาง:
รถไฟใต้ดินสาย 3 ลงสถานี Anguk ทางออก 6 เดินต่อประมาณ 5 นาที
เวลาเปิด–ปิด: 10:30 – 21:00 น.
โลเคชัน: Hongdae, Seoul
จุดเด่น: คาเฟ่สัตว์เลี้ยงที่พิเศษตรงที่มี “แกะ” ตัวเป็น ๆ ให้คุณได้ถ่ายรูป ลูบขน และป้อนอาหาร แกะจะอยู่ในโซน outdoor ที่จัดไว้พิเศษด้านหน้าร้าน ส่วนโซน indoor ก็เสิร์ฟเครื่องดื่มและวาฟเฟิลแสนอร่อย
เหมาะกับใคร: สายรักสัตว์ / สายถ่ายรูป
เมนูแนะนำ: Waffle with Honey Butter, Matcha Latte
วิธีเดินทาง:
รถไฟใต้ดินสาย 2 สถานี Hongik Univ. ทางออก 9
เวลาเปิด–ปิด: 11:00 – 20:00 น.
โลเคชัน: Yeonnam-dong, ใกล้ Hongdae
จุดเด่น: คาเฟ่ที่ตกแต่งภายในด้วยโทนขาว-ดำเหมือนอยู่ในโลกการ์ตูน 2D ทุกอย่างตั้งแต่โต๊ะ เก้าอี้ ไปจนถึงแก้วน้ำ เหมือนหลุดจากหนังสือการ์ตูนสุดแนว
เหมาะกับใคร: สาย IG / สายอาร์ต / วัยรุ่นสายมินิมอล
เมนูแนะนำ: Greem Coffee, Cream Cheese Bagel
วิธีเดินทาง:
รถไฟใต้ดินสาย 2 สถานี Hongik Univ. ทางออก 3 เดินประมาณ 10 นาที
เวลาเปิด–ปิด: 11:00 – 21:00 น.
ตรวจสอบเวลาเปิด–ปิดล่วงหน้า เพราะบางร้านปิดวันจันทร์หรือหยุดไม่แน่นอน
ไปช่วงสาย–บ่าย จะได้แสงสวยสำหรับถ่ายรูป
พกเงินสดเผื่อไว้ เพราะบางร้านไม่รับบัตรเครดิตต่างประเทศ
ใช้แอป Naver Map แทน Google Maps เพื่อการนำทางแม่นยำในเกาหลี
การไปเที่ยวเกาหลีไม่จำเป็นต้องมีแค่พระราชวัง คาเฟ่น่ารัก หรือห้างสรรพสินค้าอีกต่อไป ถ้าคุณอยากเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่จะทำให้ทริปของคุณไม่ซ้ำใคร คาเฟ่ธีมแปลกในโซลคือตัวเลือกที่คุณไม่ควรมองข้าม ลองสลับวันจากการช้อป มาใช้เวลานั่งชิลล์ ขุดฟอสซิล ฟังเพลงแผ่นเสียง หรือถ่ายรูปกับแกะก็สนุกไปอีกแบบแน่นอน
เกาหลีใต้ไม่ได้มีดีแค่ซีรีส์หรือไอดอล K-pop แต่อีกหนึ่งสิ่งที่ครองใจนักท่องเที่ยวทั่วโลกคือ "อาหารเกาหลี" ที่อัดแน่นไปด้วยรสชาติ จัดจ้าน กลมกล่อม และมีเสน่ห์เฉพาะตัว ทั้งยังสะท้อนวัฒนธรรมเกาหลีได้อย่างชัดเจน
บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกเมนูเด็ดระดับตำนานที่ต้องลอง พร้อมพิกัดย่านยอดนิยมและร้านแนะนำในโซลที่ควรลิ้มลองสักครั้งในชีวิต!
ซุปกิมจิเป็นอาหารประจำบ้านของชาวเกาหลีแท้ ๆ ใช้กิมจิหมักเปรี้ยว ผัดกับหมูสามชั้น ใส่เต้าหู้ หัวหอม และน้ำสต็อกร้อน ๆ ให้รสเปรี้ยวเผ็ดกลมกล่อม
เหมาะกับ: อากาศเย็น ๆ หรือวันที่อยากได้ซุปอุ่นใจ
ร้านแนะนำ:
Gogung Jjigae (ย่านฮงแด) – ร้านเล็ก ๆ แต่รสชาติเข้มข้นสไตล์โฮมเมด
Ttukbaegi Restaurant (ใกล้ Hongik Univ.)
ราคาเฉลี่ย: 7,000–10,000 วอน
กรอบนอก ฉ่ำใน ซอสรสเด็ด! ไก่ทอดเกาหลีขึ้นชื่อเรื่องรสชาติซอสหลายแบบ ทั้งเผ็ด หวาน เค็ม หรือกระเทียมซีอิ๊ว กินคู่กับเบียร์เย็น ๆ เรียกว่า “ชิมัก” (치맥)
เหมาะกับ: มื้อค่ำแบบกลุ่มเพื่อน
ร้านแนะนำ:
BHC Chicken (มีหลายสาขา)
Kyochon Chicken (ใกล้สถานี City Hall)
Oppadak (สไตล์อบซอสไม่ใช่ทอด น้ำมันน้อยกว่า)
ย่านที่น่ากิน: ฮงแด / อีแทวอน / คังนัม
อาหารบำรุงสุขภาพที่มีชื่อเสียง ไก่ตัวเล็กยัดไส้ข้าวเหนียว โสม พุทรา เกาลัด และกระเทียม ตุ๋นในหม้อดินร้อน ๆ มักทานในฤดูร้อนตามธรรมเนียมเกาหลี
เหมาะกับ: คนอยากบำรุงร่างกาย / ผู้สูงอายุ
ร้านแนะนำ:
Tosokchon Samgyetang (ใกล้ Gyeongbokgung Palace) – ร้านเก่าแก่ระดับตำนาน
Baekje Samgyetang (Myeongdong)
ราคา: ประมาณ 15,000–20,000 วอน
หนึ่งในเมนูที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ข้าวร้อน ๆ เสิร์ฟพร้อมผักลวกหลายชนิด เนื้อวัว ผักดอง ไข่ดาว และซอสโคชูจัง (พริกเกาหลี) คลุกให้เข้ากันก่อนทาน
เหมาะกับ: ผู้ที่กินคลีน / มังสวิรัติ (ขอไม่ใส่เนื้อได้)
ร้านแนะนำ:
Gogung (Insadong / Myeongdong) – บิบิมบับสไตล์เมือง Jeonju
Bonjuk & Bibimbap Café (มีหลายสาขา)
ราคาเฉลี่ย: 8,000–12,000 วอน
เนื้อวัวหมักกับซอสถั่วเหลือง น้ำตาลหอม กระเทียม และลูกแพร์ ให้รสชาติหวานนุ่ม ย่างบนเตาแล้วห่อผักสดกินกับซอสซัมจัง
เหมาะกับ: คนชอบเนื้อนุ่ม รสกลมกล่อม ไม่เผ็ด
ร้านแนะนำ:
Maple Tree House (Itaewon)
Samwon Garden (Gangnam – ระดับพรีเมียม)
ราคาเฉลี่ย: 18,000–30,000 วอนต่อเซ็ต
เมนูยอดนิยมของวัยรุ่นเกาหลี ขนมเค้กข้าวเหนียวผัดในซอสโคชูจัง เพิ่มปลาแผ่น (Eomuk), ไข่ต้ม และบะหมี่เกาหลีได้
เหมาะกับ: สายกินเผ็ด / สตรีทฟู้ด
ร้านแนะนำ:
Sindangdong Tteokbokki Town (สถานี Sindang)
Jaws Tteokbokki (แฟรนไชส์ทั่วโซล)
ราคา: เริ่มต้น 4,000 วอน
มักขายข้างทางในหน้าหนาว เสียบไม้ในหม้อต้มน้ำซุปร้อน ๆ กินกับซอสถั่วเหลืองและมัสตาร์ด ให้รสเค็มนุ่ม ช่วยคลายหนาวได้ดี
พิกัดแนะนำ: ตลาดนัมแดมุน / Gwangjang Market / หน้าสถานีรถไฟใต้ดินหลายแห่ง
มีทั้งแบบนึ่ง ทอด ต้ม หรือใส่ในซุปไส้แน่น ๆ เช่น หมู กิมจิ ผัก เต้าหู้ กินคู่กับน้ำจิ้มซีอิ๊ว-น้ำส้มสายชู
ร้านแนะนำ:
Bukchon Mandu (ย่านบุกชอน)
Gaeseong Mandu Koong (อินซาดง – เกี๊ยวแบบโบราณ)
ราคาเฉลี่ย: 5,000–8,000 วอนต่อเซ็ต
Bingsu (빙수) – น้ำแข็งใสเกาหลีที่ราดด้วยผลไม้ ถั่วแดง หรืออินจอลมี (ข้าวเหนียวบด)
Hotteok (호떡) – แพนเค้กเกาหลีไส้น้ำตาลถั่วลิสง อบใหม่ ๆ กินตอนร้อนคือฟิน!
ร้านแนะนำ:
Sulbing Café (Bingsu)
แผงขาย Hotteok ใน Myeongdong และ Namdaemun
เต็มไปด้วยร้านอาหารวัยรุ่น คาเฟ่ และสตรีทฟู้ด
แนะนำ: ไก่ทอด / ต๊อกบกกี / คิมจิจิเก
ย่านรวมของกินหลากหลาย ทั้งสตรีทฟู้ดและร้านดั้งเดิม
แนะนำ: Hotteok / Samgyetang / Mandu
ร้านหรู พรีเมียม ทั้งบุฟเฟต์ เนื้อย่าง บูลโกกิ
แนะนำ: Bulgogi / ร้านปิ้งย่างคุณภาพ
อินเตอร์-ผสมเกาหลี เช่น คาเฟ่ / ร้านเนื้อย่างสมัยใหม่
แนะนำ: Bulgogi / Chicken & Beer
อาหารเกาหลีดั้งเดิม บิบิมบับ เกี๊ยว น้ำชาโบราณ
ใช้แอป Naver Map / KakaoMap ค้นหาร้าน
โหลดแอปแปลภาษา เช่น Papago
พกเงินสดเล็กน้อย ร้านเล็กบางแห่งไม่รับบัตร
เดินตลาดดึก เช่น Gwangjang, Namdaemun สำหรับของกินกลางคืน
สั่ง “เซ็ต” หรือเมนูร่วมกันในกลุ่มจะประหยัดกว่า
อาหารเกาหลีคือประสบการณ์ที่มากกว่าแค่การกิน มันคือวัฒนธรรม ความอบอุ่น และความอร่อยที่ทุกคนสัมผัสได้ การได้ลองเมนูแท้ ๆ จากร้านท้องถิ่น หรือเดินตลาดแล้วแวะกินข้างทาง คือสิ่งที่เติมเต็มทริปให้สมบูรณ์แบบ
ไม่ว่าคุณจะเป็นสายปิ้งย่าง สายชาบู สายขนมหวาน หรือสายสตรีทฟู้ด โซลคือเมืองที่มีให้คุณเลือกทุกรูปแบบ ลองตามไกด์นี้ไป แล้วคุณจะรู้ว่า "อาหารเกาหลี" ไม่ใช่แค่เมนูในซีรีส์... แต่มันคือรสชาติที่คุณจะคิดถึงอีกครั้งแน่นอน!
นักข่าว: สวัสดีครับ วันนี้เราได้รับเกียรติพิเศษจากคุณมินซู (Minsu Kim) ไกด์ท้องถิ่นชาวเกาหลี ที่มีประสบการณ์พานักท่องเที่ยวไทยมาเที่ยวเกาหลีกว่า 10 ปี มาร่วมพูดคุยถึงพฤติกรรมนักท่องเที่ยวไทย และสิ่งที่เกาหลีมีเสน่ห์เฉพาะในสายตาคนไทย ยินดีต้อนรับครับคุณมินซู
คุณมินซู: ขอบคุณครับ ยินดีมากเลยที่ได้มาพูดคุยวันนี้ครับ
คุณมินซู: เยอะมากครับ โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี (ตุลาคม-พฤศจิกายน) และฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) นักท่องเที่ยวไทยมาเยอะเป็นพิเศษ เพราะส่วนใหญ่ต้องการสัมผัสอากาศหนาว หิมะ และชมใบไม้แดงที่ในเมืองไทยไม่มี
คุณมินซู: ส่วนใหญ่จะเริ่มจากโซลก่อนครับ เพราะเดินทางสะดวก มีครบทั้งวัฒนธรรม แฟชั่น อาหาร และช้อปปิ้ง เช่น พระราชวังเคียงบกกุง อินซาดง เมียงดง หรือฮงแด จากนั้นก็จะมีบางกรุ๊ปที่ขอไปนอกเมือง เช่น
เกาะนามิ ดูใบไม้เปลี่ยนสีหรือหิมะตก
เอเวอร์แลนด์ (Everland) สวนสนุกที่คนไทยชอบมาก
ลานสกี เช่น Vivaldi, Yongpyong
ปูซาน และ คังวอนโด สำหรับคนที่มาเกิน 1 ครั้ง
คุณมินซู: คนไทยชอบอาหารเกาหลีมากครับ โดยเฉพาะเมนูที่รสจัด หรือมีซอสโคชูจัง เช่น
ต๊อกบกกี (ข้าวเค้กผัดซอสเผ็ด)
ไก่ทอดเกาหลี (หลายคนอยากลองเปรียบเทียบกับไก่ทอดไทย)
บิบิมบับ ข้าวยำเกาหลี
ซุปกิมจิ หรือซุปเต้าหู้
และที่คนไทยหลายคนรอคอยคือ “ปิ้งย่างเกาหลี” ครับ เพราะได้ประสบการณ์ทั้งกินและทำไปพร้อมกัน
คุณมินซู: ผมคิดว่ามีหลายปัจจัยที่รวมกันครับ:
วัฒนธรรมจาก K-pop/K-drama: ซีรีส์เกาหลีและไอดอลทำให้คนไทยผูกพันกับวัฒนธรรมเกาหลีตั้งแต่ในบ้าน
การเดินทางง่าย: จากไทยบินแค่ 5 ชั่วโมงก็ถึง
ค่าใช้จ่ายไม่สูง: เทียบกับยุโรปหรือญี่ปุ่น เกาหลีถือว่าคุ้มค่า
การบริการและความสะอาด: คนไทยชอบที่นี่สะอาด มีระบบ และปลอดภัย
และสุดท้ายคือ บรรยากาศ 4 ฤดู ที่เปลี่ยนตลอดปี คนไทยบางคนมา 3-4 ครั้งเพื่อดูแต่ละฤดูให้ครบเลยครับ
คุณมินซู: ตอนแรกคนไทยบางส่วนรู้สึกว่ามันยุ่งยากครับ เพราะก่อนหน้านี้มาได้เลยไม่ต้องขอวีซ่า แต่พอเข้าใจระบบ K-ETA แล้ว ส่วนใหญ่ก็ปรับตัวได้ง่าย
ข้อดีของ K-ETA คือช่วยคัดกรองคนที่มาด้วยวัตถุประสงค์ไม่ชัดเจน เช่น “ผีน้อย” หรือผู้ที่อาจจะลักลอบทำงานผิดกฎหมาย ทำให้นักท่องเที่ยวจริง ๆ ที่ตั้งใจมาเที่ยวได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น ไม่มีปัญหาด้านตรวจคนเข้าเมืองหรือความล่าช้า
ผมเชื่อว่าในระยะยาว ระบบนี้จะช่วยให้การท่องเที่ยวระหว่างไทย–เกาหลีมีคุณภาพมากขึ้น และมั่นคงครับ
คุณมินซู: เพราะเกาหลีให้ความรู้สึกเหมือน “เพื่อนบ้านที่น่าตื่นเต้น” ครับ ทั้งแฟชั่น อาหาร เพลง และฤดูกาล ทุกอย่างเปลี่ยนเร็ว มีชีวิตชีวา และมีเสน่ห์ไม่ซ้ำกันในแต่ละช่วงปี คนไทยจึงรู้สึกอยากกลับมาเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะมากับครอบครัว กับแฟน หรือเพื่อน ๆ
นักข่าว: ขอบคุณคุณมินซูมากครับสำหรับการแบ่งปันมุมมองวันนี้ หวังว่าคนไทยที่อ่านบทสัมภาษณ์นี้จะได้แรงบันดาลใจในการวางแผนเที่ยวเกาหลีอีกครั้ง
คุณมินซู: ขอบคุณครับ หวังว่าจะได้เจอทุกคนที่เกาหลีนะครับ!
"ถ้าคุณกำลังมองหาทริปเล่นสกีในเกาหลีที่ทั้งสนุก สะดวก และมีกิจกรรมแปลกใหม่แบบจัดเต็ม… ทริปนี้จาก Letago Travel อาจจะเป็นคำตอบของคุณได้เลย!"
ย้อนกลับไปช่วงเดือนมกราคม ปี 2024 ฉันและกลุ่มเพื่อนเก่าสมัยมัธยมปลาย 16 คน ตัดสินใจจองทัวร์กับ Letago Travel ไปสัมผัสอากาศหนาวของเกาหลีใต้ โดยมีเป้าหมายหลักคือ “เล่นสกี” และ “ตกปลาหิมะ” ซึ่งเป็นกิจกรรมฤดูหนาวยอดฮิตของคนเกาหลี
บทความนี้ไม่ใช่แค่รีวิวการเที่ยวเกาหลี แต่คือการแชร์ประสบการณ์จากคนที่เคยไปกับ Letago จริง และอยากให้ทุกคนได้ลองสัมผัสความสุขในแบบเดียวกัน
โปรแกรมวันแรกเมื่อไปถึงเกาหลี จะพาเราไปพักที่ Vivaldi Park Ski Resort หนึ่งในสกีรีสอร์ตยอดนิยมของเกาหลีที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงโซล ใช้เวลาเดินทางราว 2 ชั่วโมง จากสนามบิน
มีลานสกีแยกระดับชัดเจน: มือใหม่ / ระดับกลาง / ผู้เล่นเก่ง
มีอุปกรณ์ครบ: ชุดสกี, รองเท้าบูต, ไม้, กระเช้า
มีลานหิมะสำหรับเด็ก และผู้ที่อยากแค่เล่นเลื่อนหิมะ (Snow Sled)
เราเลือกโปรแกรมที่ให้เวลาทั้งวัน และได้จองคอร์สฝึกสกีกับครูฝึกของทางรีสอร์ต (แนะนำมาก ๆ เพราะเขาพูดภาษาอังกฤษได้ และสอนเข้าใจง่าย) จบวันด้วยการล้มไม่รู้กี่รอบ แต่หัวเราะกันจนเหนื่อย!
อุปกรณ์เล่นสกี ที่ Letago พาไปเช่า คือดีมาก ไม่ต้องซื้อเองให้เปลือง แค่ 50,000 วอน ได้มาครบ (แต่ชุดกันหนาว เตรียมมาเองนะจ๊ะ)
ถ้าใครใส่แว่น แนะนำพกคอนแทคเลนส์ไป เพราะแว่นจะเป็นฝ้าตลอดเวลา
พกถุงร้อน (Hot Pack) ติดกระเป๋าไว้ ช่วยได้เยอะ! เอาแบบที่ร้อนจัดๆเลย แต่พอเล่นสกีไปสักพัก เหงื่อออกนะ
หลังจากสนุกกับการเล่นสกี Letago พาเราไปยังพื้นที่จัดงาน ตกปลาน้ำแข็ง (Ice Fishing) ซึ่งเป็นกิจกรรมยอดนิยมในช่วงฤดูหนาวของเกาหลี โดยเฉพาะในเขตภูเขาทางตอนเหนือ
เราได้นั่งตกปลาบนลานน้ำแข็งที่เจาะรูไว้ล่วงหน้า ท่ามกลางหิมะขาวโพลน
อากาศหนาวจัดแต่สนุกมาก โดยเฉพาะตอนที่ปลากระตุกเบ็ด!
หากตกได้ ทางทีมงานจะช่วยย่างปลาสด ๆ ให้กินทันที อร่อยและสดมาก
บรรยากาศเหมือนอยู่ในซีรีส์เกาหลีที่เราเคยดูเลย เป็นกิจกรรมที่ต้องลองสักครั้งในชีวิต!
วันแรก: บินเช้า – ถึงเกาหลี – เล่นสกีที่ Vivaldi Park – เข้าที่พักสกีรีสอร์ต
วันที่สอง: ตกปลาหิมะ – เที่ยวสวนสนุก Everland – เข้าที่พัก
วันที่สาม: เที่ยวโซล – ช้อปปิ้งเมียงดง – พระราชวังเคียงบกกุง
วันที่สี่: เดินทางกลับไทย
จังหวะเวลาและแผนที่ Letago วางให้คือ “พอดีมาก” ไม่มีรีบเร่ง และมีเวลาให้พักจริง ๆ
ที่พักของเรา 2 คืนแรกเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวในโซล ใกล้สถานีรถไฟฟ้า เดินทางง่าย ส่วนคืนที่ 3 ที่ Vivaldi Park Ski Resort คือที่สุดของที่สุด ตื่นมามองเห็นลานสกีขาวโพลนจากหน้าต่างห้องพักเลย!
รถบัสที่ใช้เดินทางเป็นรถใหม่ แอร์อุ่น เบาะนุ่ม ไม่เวียนหัว และมีมัคคุเทศก์ Letago ดูแลตลอดทาง ใส่ใจทุกจุด แม้แต่เวลาลงจุดถ่ายรูปก็มีการบรีฟให้เสมอ ราคาทัวร์ท่านละ 30,999 บาท บินกับ Korean Airlines
รูปที่ถ่ายตอนยืนคู่กับ Snowman ที่ลานสกี กลายเป็นปกโปรไฟล์ของฉันจนถึงทุกวันนี้
การได้ลองตกปลาหิมะครั้งแรกในชีวิต มันทำให้เข้าใจว่าทำไมคนเกาหลีถึงชอบฤดูหนาว
และเหนือสิ่งอื่นใด คือความรู้สึกที่ Letago ทำให้ทริปของเรามัน “ง่าย และสนุก” มากจริง ๆ
อยากเล่นหิมะแบบปลอดภัย ไม่ต้องห่วงเรื่องอุปกรณ์? ✔️
อยากมีกิจกรรมแปลกใหม่แบบตกปลาน้ำแข็งในลานหิมะ? ✔️
อยากได้ไกด์ที่ดูแลเหมือนเพื่อน มากกว่าพนักงาน? ✔️
ทั้งหมดนี้ฉันได้รับจากทริป Letago และอยากให้คุณได้ลองดูสักครั้งในชีวิต โดยเฉพาะถ้าคุณมีเวลาในเดือนมกราคม — ช่วงที่หิมะขาวที่สุด และเป็นฤดูของกิจกรรมตกปลาน้ำแข็งสุดพิเศษ
ทุกปีเมื่อเดือนตุลาคมย่างเข้าปลายปี ความงดงามของฤดูใบไม้เปลี่ยนสีในเกาหลีก็กลายเป็นภาพจำในใจของนักท่องเที่ยวหลายคน และหากเอ่ยถึงจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีในเกาหลี หลายคนคงนึกถึง “เกาะนามิ” (Nami Island) เป็นอันดับแรก แต่สำหรับคนเกาหลีอย่างเราแล้ว ยังมีอีกสถานที่ที่งดงามและเงียบสงบยิ่งกว่า นั่นคือ “เขาแนจังซาน” (Naejangsan / 내장산) ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชอลลาเหนือ (Jeollabuk-do) ซึ่งถือเป็น Hidden Gem ของฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่นักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่ค่อยรู้จักกันมากนัก
เราจะพาคุณเดินทางสู่เขา Naejangsan ด้วยหัวใจของคนเกาหลี แนะนำจุดชมใบไม้แดงที่ต้องไปให้ได้ วิธีการเดินทาง พร้อมความสวยงามในมุมที่ไม่ใช่แค่การถ่ายรูป แต่คือการสัมผัสธรรมชาติอย่างแท้จริง
Naejangsan เป็นหนึ่งในอุทยานแห่งชาติที่เก่าแก่ของเกาหลี ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ใกล้กับเมือง Jeongeup (จอนอึบ) ในจังหวัด Jeollabuk-do และเป็นที่รู้จักในหมู่คนเกาหลีว่าเป็น “ราชาแห่งใบไม้เปลี่ยนสี” (단풍의 왕)
คำว่า “แนจัง” (내장) แปลว่า “ภายใน” หรือ “ซ่อนอยู่” ซึ่งหมายถึงความงามที่ซ่อนอยู่ภายในภูเขานี้ ไม่ว่าจะเป็นป่าเมเปิ้ลที่เปลี่ยนสีทั่วทั้งหุบเขา ศาลาวัดโบราณที่เงียบสงบ หรือเส้นทางเดินป่าที่มีลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่าน
ความเงียบสงบ: ต่างจากนามิที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว Naejangsan ยังคงความเป็นธรรมชาติ ไม่พลุกพล่าน มีแต่คนเกาหลีและนักเดินป่าที่มาเพื่อเสพความงามของฤดูใบไม้ร่วงจริง ๆ
วิวหลากหลายกว่า: มีทั้งวัดโบราณ น้ำตก ป่าเมเปิ้ล ทะเลสาบ และจุดชมวิวบนยอดเขา
กลิ่นอายวัฒนธรรม: วัด Naejangsa ที่อยู่ภายในอุทยาน เป็นวัดเก่าแก่ที่มีประวัติยาวนานนับพันปี เหมาะกับคนที่อยากสัมผัสทั้งธรรมชาติและวัฒนธรรมไปพร้อมกัน
การเดินป่าที่เข้าถึงได้: เส้นทางเดินมีตั้งแต่ระดับเบา ๆ ไปจนถึงสายจริงจัง ไม่ต้องปีนเขาสูงก็ชมใบไม้แดงได้ทั่ว
เส้นทางเดินเข้าอุทยานที่สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นเมเปิ้ลสีแดง เหลือง และส้ม ตลอดระยะทางกว่า 500 เมตร เหมาะกับการถ่ายภาพย้อนแสงที่สุดในช่วงเช้า
วัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยราชวงศ์แพ็กเจ ถูกห้อมล้อมด้วยป่าเมเปิ้ลและภูเขา ถ่ายภาพวัดท่ามกลางใบไม้แดง เป็นความงามที่สื่อถึง “จิตวิญญาณฤดูใบไม้ร่วง” ได้ดีที่สุด
สองน้ำตกชื่อดังของอุทยาน ตั้งอยู่ห่างจากวัดแนจังซาเล็กน้อย ใช้เวลาเดินไม่เกิน 30 นาที วิวธรรมชาติของน้ำตกท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีคือฉากในฝันที่คนเกาหลีหลายคนมาเพื่อสิ่งนี้
ไม่อยากเดินขึ้นเขา? สามารถขึ้นเคเบิลคาร์ไปชมวิวพาโนรามาบนยอดเขาได้ เห็นทั้งอุทยานในมุมสูง โดยเฉพาะช่วงใบไม้แดงเต็มพื้นที่
ถ้าคุณรักการปีนเขา ลองเดินขึ้นยอดเขา Yeonjabong ซึ่งสูงประมาณ 670 เมตร ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง วิวที่ได้คือทะเลใบไม้แดงที่ไม่มีอะไรมากั้นสายตา
ขึ้น KTX จากสถานี Yongsan ไปยังสถานี Jeongeup (ประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที)
จากสถานี Jeongeup ต่อ รถบัสสายท้องถิ่น ไปยัง Naejangsan National Park (ใช้เวลาประมาณ 30 นาที)
ขึ้นรถบัสไปยัง เมือง Jeongeup ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
จากนั้นต่อรถบัสท้องถิ่นตามเส้นทางเดียวกัน
ใช้บริการ Klook / Trazy / Viator มีโปรแกรม One Day Trip ไปเช้าเย็นกลับ พร้อมไกด์
ช่วงกลางถึงปลายพฤศจิกายน คือช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีเต็มที่
ถ้ามาช่วงต้นพฤศจิกายน ใบไม้ยังเขียวปนเหลือง แต่คนจะน้อยกว่า
มาเช้าหน่อยจะได้แสงดีสำหรับถ่ายรูป และเลี่ยงคนเยอะ
รองเท้าเดินป่าหรือรองเท้าผ้าใบสบาย ๆ
กล้องถ่ายภาพหรือมือถือพร้อมแบตสำรอง
อาหารว่าง/ขนม เพราะด้านในไม่มีร้านอาหารมากนัก
เสื้อกันหนาวเบา ๆ เพราะตอนเช้าจะอากาศเย็น
Jeongeup Ddeokgalbi House – ร้านดังของเมืองที่ขายเนื้อบดปิ้งบนเตาถ่าน รสชาติอร่อยเข้มข้น
Cafe Sanrim – คาเฟ่กลางป่า บรรยากาศดี เหมาะสำหรับแวะพักก่อนหรือหลังเข้าป่า
ตลาด Jeongeup Traditional Market – แวะชิมของกินพื้นบ้าน เช่น ข้าวปั้นบิบิมบับ ต๊อกโฮต็อก และซุปปลาแห้ง
การเที่ยว Naejangsan คือการได้สัมผัสใบไม้เปลี่ยนสีอย่างเงียบสงบ ท่ามกลางธรรมชาติบริสุทธิ์ และวัดเก่าแก่ที่ให้พลังใจอันแผ่วเบา เป็นจุดหมายที่คนเกาหลีเองยังเลือกจะไปทุกปี เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือน “ได้กลับคืนสู่ธรรมชาติจริง ๆ”
ถ้าคุณกำลังมองหาที่เที่ยวใบไม้แดงในเกาหลีที่ไม่วุ่นวาย ไม่ต้องเบียดคน ไม่ต้องต่อแถวขึ้นเรือ Naejangsan คือคำตอบแบบไม่ต้องสงสัย